ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

รู้จริง-รู้จำ

๖ ต.ค. ๒๕๕๕

 

รู้จริง-รู้จำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๑๑๗๒. ข้อ ๑๑๗๓. ไม่มี

ถาม : ข้อ ๑๑๗๔. เรื่อง “เจริญ อินปา” (เขาเรียกกิจการ เขาถามนะ)

หลวงตาครับ ผมขอรบกวนสักเรื่องหนึ่งเป็นปัญหาทางโลกแล้วกันครับ พอดีจะเปิดกิจการร้านเสื้อผ้าอีกไม่กี่วันครับ ทำอย่างไรให้ร้านอยู่รอดและไปได้

๑. หลวงตาจะตอบเป็นทางธรรมก็ได้ครับ

๒. ฮวงจุ้ย

๓. สิ่งที่ต้องทำก่อนเปิดร้าน

๔. อื่นๆ ที่หลวงตาจะแนะนำ

ตอบ : เราเห็นนะ เราเห็นในทีวีดาวเทียม เขามีการโฆษณา มีการค้าขายอะไรร้อยแปด เรื่องฮวงจุ้ย เรื่องต่างๆ เห็นแล้วมันเศร้า ฮวงจุ้ยนี่นะมันเป็นศาสตร์ศาสตร์หนึ่ง ถ้าเป็นศาสตร์ศาสตร์หนึ่งมันก็เป็นเรื่องของโลก ถ้าฮวงจุ้ยนี่มันมีคนที่เข้าได้ลึก เข้าได้ตื้น เราจะบอกว่าไม่มี อย่างพรหมศาสตร์ พรหมศาสตร์คือตำราทักทายฤกษ์ยามมันก็มีของมันอยู่ มีมาก่อนสมัยพุทธกาลด้วย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้ไปติดวิชาทางโลกไง จะบอกว่าติรัจฉานวิชาเดี๋ยวก็จะว่าไปว่าอาชีพเขาอีก นี้เขาว่าข้อ ๑ ๒ ๓ ๔ ไง

ฉะนั้น สิ่งนี้ในเมื่อทางโลกเขาเอามาใช้ประโยชน์ เขาใช้ประโยชน์ของเขา แต่ถ้าเราจะทำของเรานะ เรามั่นคงของเรา เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน ถ้าลูกศิษย์กรรมฐานนะ ไม่ถือฤกษ์ยาม ไม่ถือสิ่งต่างๆ แต่ถ้าไม่ถือ เราว่าถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราทำความดีของเรา เราจะเปิดร้านค้าของเราเพราะเราต้องมีอาชีพ เราต้องมีอาชีพ เราต้องมีหน้าที่การงาน เราก็ทำดีที่สุด ทำดีที่สุด แต่อย่าไปเก๊ก อย่าไปตื่นเต้นสิ แล้วอย่าไปฟังเสียงลมเสียงแล้ง

เสียงลมเสียงแล้งเขาจะบอกว่าร้านนี้ดีเพราะอย่างนั้น ดีเพราะอย่างนั้น ดีเพราะอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะว่าพวกที่เขาทำฮวงจุ้ย เขาทำต่างๆ เขาก็ต้องพยายามจะบอกว่าเขาทำแล้วได้ผลงานอย่างไร ผลงานอย่างไร เขาก็เอาอันนั้นมาเป็นผลงานของเขา เราก็ไปดูอย่างนั้นแหละ แต่พอเราไปทำแล้วมันไม่สมความปรารถนา ก็บอกว่าทำชุดเล็ก ต้องทำชุดใหญ่ ทำชุดเล็ก ๒,๐๐๐ ชุดใหญ่ ๔,๐๐๐ ชุดนั้นต้อง ๖,๐๐๐ อ้าว ก็ทำไป ๒,๐๐๐ ๖,๐๐๐ มันก็ทำไปเรื่อยล่ะ

ฉะนั้น เราเชื่อมงคลตื่นข่าว เราไปเชื่อเสียงลือเสียงเล่า แต่ถ้าเราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน คำว่าลูกศิษย์กรรมฐานนะ ชาวพุทธนี่เขาไม่ถือมงคลตื่นข่าว เขาให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่แล้ว ถ้าถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราทำตามความสามารถของเราเต็มที่เลย ถ้าทำตามความสามารถเต็มที่อันนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา มันอยู่ที่ว่าเราจะมั่นคงแค่ไหน เราจะทำของเราได้แค่ไหน แล้วเราทำของเราไป

อันนี้เป็นข้อ ๑ ๒ ๓ ๔ นี่ยกไว้เลย ทีนี้คำถามต่อมาสิ คำถามนี่

ถาม : สิ่งที่ผมถามหลวงตานี้แม้จะเป็นทางโลก แต่ไม่อยากรบกวนสิ่งที่เขาอยู่ในนั้น ที่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า และเปิดกิจการเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตามกรรมของมนุษย์ให้อยู่รอดก็พอ ขอหลวงตาโปรดเมตตาด้วย และเรื่องพระที่จะนำเข้าไปในร้านต้องทำอย่างใด ขอรบกวนด้วย

ตอบ : คือว่าเราเชื่อไง เราเชื่อว่ากามภพ รูปภพ อรูปภพ เราเชื่อถึงผลของวัฏฏะ เราเชื่อถึงผลของวัฏฏะมันก็มีใช่ไหม มีเรื่องของนรก สวรรค์ มีเรื่องของนรกนะ สัมภเวสี มีมนุษย์ อบายภูมิ ๔ ก็มีสัตว์เดรัจฉาน อบายภูมิ ผีเปรต อบายภูมิ ถ้าภูมิของมนุษย์ ภูมิของเทวดา รุกขเทวดา ภูมิของพรหม มันมีในผลของวัฏฏะ แต่เขาก็ต้องอยู่ตามภพภูมิของเขา ทีนี้ตามภพภูมิของเขาโดยหลักใช่ไหม ถ้าโดยหลัก ทำไมเวลาคนตายไปแล้วญาติโยมนี่ทำไมเขามาหาได้ ไอ้อย่างนี้แอกซิเดนท์มันมี แอกซิเดนท์ แบบว่าเวลาทุกข์เวลายากเขาต้องมีความพยายาม นี่มันมีบ้าง แต่โดยหลัก เราต้องยึดโดยหลักไว้ก่อน

ถ้ายึดโดยหลัก เห็นไหม ในเมื่อเราจะเข้าไปบ้านของเรา แล้วสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาของเรา เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แล้วเราเอาพระเข้าไปนี่มันจะไปรบกวนเขา มันจะไปอะไรเขา...สงสัยจะดูหนังทีวีบ่อย ดูละครหลังข่าวบ่อยมาก ถ้าดูละครหลังข่าวบ่อยเราก็เชื่อตามละครหลังข่าวนะ ละครหลังข่าวมันเขียน สิ่งนั้นมันก็มี นี่ประสบการณ์ของคนมันมีใช่ไหม แล้วละครหลังข่าวเขาก็เอามาทำละคร แล้วเราก็ดูละครกันมาก

ถ้าเราไม่ลบหลู่ เราทำของเราด้วยความมั่นคงของเรา เขาก็อยู่ของเขา เราก็อยู่ของเรา ในโลกนี้มันไม่มีที่ใดเลยที่ไม่เคยมีสัตว์เคยเกิดและเคยตาย ถ้าพูดถึงจิตวิญญาณมันมีของมันไปหมดทุกที่ ทุกที่มีจิตมีวิญญาณของมันทั้งนั้นแหละ แล้วถ้ามีจิตวิญญาณของเราแล้วนี่ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไรล่ะ

ดูสิดูกองทัพธรรม กองทัพธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม แต่เดิมภาคอีสานเขาถือผีกัน ถือผีกันน่าสงสารมากนะ เราได้เป็ดได้ไก่มาหนึ่งตัว เราก็ต้องแบ่งครึ่งหนึ่งไปเซ่นผี เรากินได้ครึ่งหนึ่งนะ เราจะทำอะไรเราก็ต้องแบ่งให้ผีก่อน จะกินข้าวก็ต้องตักไปให้ผีก่อน เราทำมา เราคนคนเดียวเลี้ยงชีพ เราต้องเลี้ยงชีพจิตวิญญาณที่เรามองไม่เห็นอีก เราต้องไปตั้งให้อีก แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมานะ บอกว่าให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือรัตนตรัย เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วสิ่งที่อุทิศส่วนกุศลไปให้ เพราะเรามีปู่ย่าตายาย เรามีเจ้ากรรมนายเวร เราก็มีของเราเหมือนกันใช่ไหม เราก็ทำของเราไป ทำของเราไปมันก็จบสิ้นกันใช่ไหม

แล้วถ้ามันมีเวรมีกรรม นี่เราไปห่วงวิตกกังวลไปหมดเลย มันก็ไปยอมรับเขา เขาเรียกว่าถือเคร่ง ถือเคร่งเรื่องภูติผีปิศาจมันก็มีของมันเหมือนกัน เพราะเขามีจิตวิญญาณของเขา แล้วมีมนุษย์โง่ๆ ไปเชื่อเขา เขาก็เลยเอาสิ่งนี้มาเป็นเบี้ยล่างเขา แต่มนุษย์มันฉลาด มนุษย์มีที่พึ่ง มนุษย์มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง มนุษย์มีองค์ศาสดาเป็นที่พึ่ง เขาเองเขาก็กลัวบาปกลัวกรรม เขาจะมาทำเราไหม? เขาไม่ทำเราหรอก นี่พูดถึงเวลากองทัพธรรม เห็นไหม นี่ภาคอีสานทั้งหมดนะ แต่ตอนนี้พระเล่าให้ฟังนะ บอกว่าในปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ ในปัจจุบันนี้เขายังถือกันเยอะนะ เพราะอะไรล่ะ เพราะว่ามันเป็นสัญชาตญาณไง ความถือของเขา

ทีนี้เราบอกว่าในที่นั้นเราเข้าไปมันจะมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น นี่เราไม่เห็นด้วยตาเปล่า แล้วเราเอาพระ คือจะเอาพระเข้าไปในร้าน จะเปิดร้านใหม่จะเอาพระเข้าไปด้วย ควรเอาเข้าไปทางไหน

ก็เอาเข้าไปทางประตูไง เปิดประตูแล้วก็เอาเข้าไป แล้วจะเข้าไปทางไหนล่ะ

คือเราทำเป็นปกติเรานี่แหละ แล้วเรามีจุดยืนของเรานะ ถ้าเราไม่มีจุดยืน ถ้าคนอ่อนแอ คนจิตใจอ่อนแอ เวลาจะเอาพระเข้าประตูบ้าน เกิดลมกรรโชกมานะ เอาแล้วผิดนู่นผิดนี่ คิดไปเลยนะ ถ้าลมจะกรรโชกมาก็เรื่องของลม ลมก็พัดของเขาอยู่แล้ว ถ้าลมพัดของเขามา เรามั่นคงของเรา ไม่มีปัญหาหรอก เพราะอะไร เพราะเราทำสัมมาอาชีวะ เราทำอาชีพสุจริต แล้วเราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เรามีที่พึ่งของเรา จะมีสิ่งใดนะ เห็นไหม เวลาคนมีความตกใจเขาให้นึกพุทโธๆ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า

เวลามีสิ่งใด เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า เราไม่ต้องไปตกใจสิ่งใดเลย ถ้ามีสิ่งใดเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ก่อน ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ก่อน พุทโธ พุทโธ พุทโธ เรียกพุทธะนะผีกลัวหมดน่ะ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านอยู่ที่วัดเขาแก้ว ราชภัฏจันทบุรีเขาจะขยายเขตของเขา แล้วมันเป็น ม. เล็กๆ เสร็จแล้วเขาจะเอารถแทรกเตอร์เข้าไปไถ พอรถแทรกเตอร์เข้าไปจะดับหมด จะเอาอะไรเข้าไปนี่ทำสิ่งนั้นไม่ได้เลย หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็เมตตา หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็เอาค้อนเอาสิ่วของท่านไปเลย เอาค้อนเอาสิ่วไปเลยนะ ไปที่ ม. นั้นน่ะ ไปถึงนะ

นี่หลวงปู่เจี๊ยะพูดให้เราฟังเอง เพราะเราคุยกับหลวงปู่เจี๊ยะมาเยอะมาก หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังว่า พอไปถึงก็เอาค้อนนี่ทุบ ทุบเสร็จพอเป็นพิธี แล้วท่านก็พูดของท่านนะ “ไป เราไปอยู่วัดกัน เราไปอยู่วัดกันนะ ที่นี่เราจะทำความเจริญ เขาทำความเจริญของเขา เราไปอยู่วัดกัน” นี่เชิญมาอยู่วัดเลย พอเชิญมาอยู่วัดปั๊บนะ พอกลับมาท่านบอกท่านพักอยู่ในโบสถ์วัดเขาแก้ว วัดเขาแก้วอยู่ติดกับราชภัฏรำไพพรรณีนั่นน่ะ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านอยู่ในโบสถ์ ท่านพักอยู่ในโบสถ์ท่านก็เอนลง ท่านนั่งภาวนาพักหนึ่งแล้วท่านก็เอนลง พอเอนลงท่านบอกเลยนะ เทวดามันมา แต่งเป็นชุดพระอินทร์เลยล่ะ ชุดเทวดาลงมากลบอย่างนี้เลย หลวงปู่เจี๊ยะ “พุทโธ!” กระเด็นออกไปเลย เสร็จแล้วเขาก็เอารถเข้าไถนะ จนเดี๋ยวนี้เป็นราชภัฏขึ้นมานี่

พุทโธ! นี่หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังเองเลยนะ เวลาท่านนอนอยู่นี่ห่มเข้ามาอย่างนี้เลยน่ะ ก็ไปอยู่ด้วยกัน ก็อยู่บนนี้เลย อ้าว! เขาให้อยู่ในวัด เขาไม่ได้ให้มาอยู่บนตัวนี่ เขาเชิญมาอยู่ในวัด ก็มาพัก มาอยู่ด้วยกัน ที่อยู่ไง ย้ายเข้าไปอยู่ที่นี่ซะ ที่นั่นเขาจะได้ทำประโยชน์ แต่เดิมก่อนหน้านั้น นี่รถแทรกเตอร์จะเข้าไปอย่างไร เขาพยายามจะทำ ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ เข้าไปเครื่องดับหมด เขาบอกเข้าไปแล้วดับหมด เข้าไปถึงนั่นไม่ได้เลย

นี่พุทโธ ทีนี้คำว่า “พุทโธ” มันก็พุทโธจากครูบาอาจารย์ของเรา พุทโธจากหัวใจ พุทโธจากความจริงจัง ไอ้เรานี่หัวใจมันหวั่นไหว หัวใจเราไม่มีที่พึ่ง ทำสิ่งใดเราก็คลอนแคลน เขาว่าพุทโธก็พุทโธด้วย แล้วพุทโธทำไมไม่ได้ผลล่ะ ไม่ได้ผลเพราะเราไม่จริงจัง ถ้าเราจริงจังของเรา เรามั่นคงของเรา เราจะทำของเราได้

ฉะนั้น สิ่งที่มองไม่เห็นนะ มันมีอยู่โดยทั่วไป บนถนนหนทาง ในอากาศ นี่มีหมด ฉะนั้น เวลาเขาบอกว่าสวรรค์อยู่ชั้นบนใช่ไหม เขาก็ไปดาวอังคารกันตอนนี้ ดาวอังคารเขาไปสำรวจกัน มันไป ๙ เดือนกว่านะ แล้วไปเจอสวรรค์ตรงไหนล่ะ มันไม่เห็นสวรรค์สักที่หนึ่ง อ้าว! สวรรค์อยู่ตรงไหนล่ะ

แต่ถ้าบนสวรรค์ มิติของเรา นี่สวรรค์ก็อยู่ที่นี่แหละ วัฏฏะมันอยู่ที่นี่แหละ ถ้าอยู่ที่นี่มันก็เป็นที่อยู่อาศัย แต่มันอยู่คนละภพ อยู่คนละมิติกันเราก็มองไม่เห็นกัน แล้วพอไม่เห็นกัน แล้วเราไปวิตกกังวลว่าสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นจะทำอย่างไร

มองไม่เห็นก็สาธุ ก็ภพชาติของเขา นี่ก็ภพชาติของเรา เห็นไหม เราก็แค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เราก็เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ เราก็ทำมาหากินของเรา ถ้าทำมาหากินของเรานะ ด้วยความมงคลของร้านของเรา เราจะเอาพระเข้าเราก็เอาพระเข้าไปตั้ง ตั้งเสร็จแล้วเราก็บูชาของเรา แล้วเราก็ทำสัมมาอาชีวะของเราเท่านั้นเอง เท่านั้นเองนะ ไม่ไปตื่นเต้น ไม่ไหลไปกับโลกมันก็ไม่เป็นโลก ถ้าเราไหลไปกับโลก เห็นไหม นี่พุทธศาสน์กับไสยศาสตร์ แล้วสิ่งที่บอกว่าทางหลักวิชาการของเขามีอยู่ เราก็มีอยู่ เพียงแต่ว่าของเราพ้นจากทุกข์ เราต้องการพ้นจากทุกข์ เราไม่ต้องการอยู่สภาวะแบบนั้น ถ้าเราไม่ต้องการอยู่สภาวะแบบนั้น อันนั้นเป็นเรื่องของเขา จบ

อันนี้นะ

ถาม : ข้อ ๑๑๗๕. เรื่อง “การฝึกใช้ปัญญา”

กราบนมัสการหลวงพ่อครับ กระผมขอโอกาสเรียนถามหลวงพ่อถึงสิ่งที่คาใจเมื่อ ๓ ปีที่แล้วครับ คือผมปฏิบัติโดยใช้การบริกรรมพุทโธ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งบริกรรมไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าจิตสงบหรือไม่ รู้แต่ว่าขณะนั้นผมกำลังจะลุกเพื่อจะทำกิจกรรมอย่างอื่น อยู่ๆ ก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า “ทำไมเราชอบผู้หญิงผิวขาว ทำไมเราไม่ชอบผู้หญิงผิวดำ”

ทันทีที่คำถามนี้จบก็มีคำตอบออกมาว่า “แล้วกระดาษสีขาวล่ะ ขาวกว่าคนผิวขาวอีก ทำไมเอ็งไม่ชอบกระดาษล่ะ”

พอคำตอบเหล่านี้เกิดขึ้น รู้สึกว่าตอนนั้นเหมือนโล่ง โปร่ง ไม่ได้มีความรู้สึกชอบผู้หญิงผิวขาวแล้ว แต่ตอนนี้ผมก็กลับไปชอบอีก ผมเลยอยากเอาคำตอบนั้นมาถามตัวเองอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ผลเหมือนตอนนั้น มันมีความรู้สึกว่ายังชอบอยู่ กระผมขอเรียนถามปัญหาหลวงพ่อดังนี้ครับ

๑. คำถามที่เกิดขึ้น แล้วตามมาด้วยคำตอบแบบนี้ เป็นการฝึกใช้ปัญญาใช่หรือไม่ครับ

๒. ถ้าไม่ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรครับ แล้วการฝึกใช้ปัญญาเป็นอย่างไรครับ ขอความกรุณายกตัวอย่างได้ไหมครับ

ตอบ : นี่พูดถึงการยกตัวอย่างนะ เราจะตอบ

สิ่งที่เกิดขึ้นมา ๓ ปีที่แล้ว ๓ ปีที่แล้วกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ กำหนดพุทโธของเรามาเรื่อย ถ้ากำหนดพุทโธ พอจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ จิตมันสงบ นี่ธรรมมันเกิด เวลาธรรมมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะคำว่าธรรมมันเกิด มันเกิดที่ใจ เวลาเราศึกษา เราปฏิบัติมา ปริยัตินี่เรียนมารู้ทั้งนั้นแหละ เรียนมาอย่างไรมันก็เศร้าใจ เรียนมาอย่างไรมันก็กระเทือนใจเพราะมันสังเวช

มันสังเวชก็คือสังเวช สังเวชคือความรู้สึก คือสัญญาอารมณ์ แต่เวลาพุทโธ พุทโธ พุทโธจิตมันก็สงบบ้างไม่สงบบ้าง จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันโดยที่เรายังไม่มีข้อมูลไง มันเกิดขึ้นโดยข้อเท็จจริงไง พอมันเกิดขึ้นโดยข้อเท็จจริง จิตมันสงบ คือว่ามันไม่มีใครไปปรุงแต่ง เวลาไม่มีใครปรุงแต่งขึ้นมา เห็นไหม

ถาม : อยู่ๆ ก็มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า “ทำไมเราถึงชอบผู้หญิงผิวขาว ทำไมเราไม่ชอบผู้หญิงผิวดำ” ทันทีที่คำถามนี้จบลงก็มีคำตอบว่า “แล้วกระดาษสีขาวล่ะ ขาวกว่าผิวขาวอีก ทำไมเอ็งไม่ชอบ” เท่านั้นแหละมันก็โปร่ง ก็โล่งหมดเลย

ตอบ : มันเป็นข้อเท็จจริงกับข้อเท็จจริง เหมือนกับเวลาเอาน้ำตั้ง เราจะต้มน้ำ ถ้าเราลืมกดแก๊สหรือเราลืมติดไฟ น้ำตั้งอยู่อีกปีหนึ่งมันก็ไม่เดือดหรอก แต่ถ้าความร้อน เราเปิดแก๊สพอถึงเวลาแล้วน้ำจะเดือด นี่จุดของน้ำเดือดไง

นี่ก็เหมือนกัน ทำไมเอ็งชอบผู้หญิงผิวขาวล่ะ ทำไมเอ็งไม่ชอบผิวดำล่ะ แล้วทำไมเอ็งไม่ชอบกระดาษสีขาว...กระดาษมันไม่มีชีวิต เห็นไหม เวลาพระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะว่าต่อไปเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว มันจะต้องมีผู้หญิงเข้ามาอุปัฏฐาก เข้ามาในพุทธศาสนา เราจะทำอย่างไร

“ถ้าเธอไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง นั่นแหละดี”

“อ้าว! แล้วถ้าจำเป็นล่ะ เพราะต้องคุยกับเขา”

“เธอก็ต้องตั้งสติไว้ ตั้งสติแล้วคุยกับเขา ต้องมีสติ”

นี่พระพุทธเจ้าบอกไว้เลย เพราะอะไร เพราะผู้หญิงกับผู้ชายคือสิ่งมีชีวิตไง มีความรู้สึกมันก็สปาร์กกันไง แล้วกระดาษทำไมเราไม่ชอบมันล่ะ กระดาษใครจะไปชอบมัน กระดาษมันไม่มีชีวิต เออ! ให้กระดาษสวยขนาดไหนก็ไม่ชอบ อ้าว! กระดาษนี่นะ หุ่นนะ มันจะปั้นให้สวยตามสเปคเลย สุดยอดเลย แล้วชอบมันไหม? ก็ไม่ชอบ เพราะมันไม่มีชีวิตไง อันนั้นมีชีวิต เห็นไหม เพราะมันตอบขึ้นมา พอมันตอบขึ้นมามันก็ปล่อยมันก็โล่ง นี่คือหนามยอกเอาหนามบ่ง ในเมื่อจิตใจของเรามันมีสเปคของมันนะ ชอบผิวขาว แล้วทำไมไม่ชอบผิวดำล่ะ ทำไมไม่ชอบกระดาษสีขาวล่ะ

เราจะบอกว่ารู้จริงมันเป็นแบบนี้ รู้จริงแล้วจิตพุทโธ ตัวจิต ตัวมีความรู้สึก กระดาษไม่มีชีวิต ดูสิเวลาเขาเทศน์ธรรมะกัน เอาซากศพกับซากศพ ซากศพผู้หญิงกับซากศพผู้ชายไปนอนก่ายกันมันก็ไม่มีความรู้สึกหรอก ไม่มีหรอก อ้าว! ศพผู้ชายที่ตายแล้ว ศพผู้หญิงที่ตายแล้ว เอาไปให้มันนอนคู่กันมันมีความรู้สึกไหม? ไม่มีหรอก เพราะจิตมันออกจากร่างนั้นไปแล้ว มันมีที่จิตไง นี่พอมีที่จิต ทีนี้เราพุทโธ พุทโธเข้าไปสู่จิต พอเข้าไปสู่จิต เวลาจิตมันยกโจทย์ขึ้นมา เห็นไหม ทำไมเอ็งชอบผู้หญิงผิวขาว ทำไมเอ็งไม่ชอบผู้หญิงผิวดำ ทำไมเอ็งไม่ชอบ ถ้ากระดาษมันผิวขาวกว่าทำไมเอ็งถึงไม่ชอบ

เวลารู้จริงมันเป็นแบบนี้ เวลารู้จริง เห็นไหม เวลารู้จริง พุทโธ พุทโธไป เวลาปัญญามันเกิด ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ ถ้าเกิดจากสัมมาสมาธินี่มันปล่อยโล่งหมดเลย นี่ไงรสของธรรม รสของสมาธิก็เป็นอย่างหนึ่ง รสของปัญญาก็เป็นอย่างหนึ่งนะ ทีนี้รสของปัญญามันเป็นปัญญา มันเป็นรสของปัญญา มันก็ให้ผลของมันเป็นตามความเป็นจริง นี่คือรู้จริง รู้จริงเป็นแบบนี้

ถ้ารู้จริงเป็นแบบนี้นะ แล้วทำอย่างไรต่อไป นี่คนรู้จริงเยอะแยะ ทุกคนภาวนาไปแล้วเกิดความกระทบ เกิดความเห็นของจิต จิตรับรู้ ว่างหมดเลย ดีมากเลย แล้วหลวงพ่อทำอย่างไรต่อไปล่ะ แล้วจะทำอย่างไรต่อไป? ก็ซ้ำไง ซ้ำคือทำอีก แต่ทำอีกนะ นี่พอปัญญามันเกิดอย่างนี้แล้ว นี่ผู้หญิงผิวขาว ผู้หญิงผิวดำแล้ว แล้วข้างหน้ามันคืออะไรล่ะ ข้างหน้ามันคืออะไร

มนุษย์เกิดมามันมีอะไรบ้างที่ฝังใจมัน มันก็มีระหว่างเพศตรงข้ามนี่แหละ แล้วถ้าเพศตรงข้าม พอมันรู้แล้วต่อไปมันจะรู้อะไรล่ะ มันจะรู้อะไร ถ้ารู้อะไรนะ เพราะกำลังมันดี ปัญญามันดีมันก็เป็นผู้ดี มีมารยาทดีมากเลย แต่พอมันเสื่อมล่ะ เพราะเราไม่ดูแลรักษา เราไม่ซ้ำนะมันก็เสื่อมออกมา พอเสื่อมออกมามันก็ไปชอบอย่างเดิม เห็นไหม พอมันชอบอย่างเดิม ฉะนั้น เวลาเราจะแก้ไข แก้ไขเราก็ต้องมีสติมีปัญญาซ้ำมากเข้าๆ มันก็จะละเอียดเข้าไปๆ

เวลาหลวงตาท่านพิจารณาอสุภะนะ ท่านบอก พิจารณาอสุภะ พิจาณาไปๆ พิจารณาจนมันไม่มีอะไรเลย ปล่อยวางหมดเลย อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ ไม่ใช่พระอรหันต์น้อยๆ หรือ ท่านบอก อย่างนี้ไม่เอา เพราะมันไม่มีขณะจิต คือมันไม่บอกว่ามีอย่างไร จบอย่างไร สิ้นอย่างไร สำเร็จอย่างไรมันไม่บอก เห็นไหม นี่มันไม่มีเหตุมีผล มันไม่ตอบไง มันไม่ตอบเหตุตอบผล

พอมันไม่ตอบขึ้นมา เอ๊ะ ทำอย่างไรดี มันก็ว่างอยู่ แต่ท่านไม่ปล่อย ท่านซ้ำแล้วมันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้เพราะมันติดของมันอยู่ ท่านเลยเอาสุภะ เอาความสวย เอาที่ชอบผิวขาวๆ มาแนบไว้ที่จิต มันแสดงออกมา พอแสดงออกมา นี่ไงยังมี นี่มีก็พิจารณาทั้งสวยและไม่สวยไปเรื่อยๆ มันละเอียดไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปจนตั้งเข้ามาแว็บหายเลย พอตั้งอสุภะขึ้นมาหรือสุภะขึ้นมา มันเร็วมากเพราะจิตมีกำลัง แว็บ แว็บ แล้วทำอย่างไรต่อไป

พอมันชำนาญขึ้นไป คนชำนาญ คนทำมันจะรู้ นี่ไงถ้ารู้จริง รู้จริงมันจะเริ่มต้นเป็นอย่างนั้น นี่เวลามันเป็นจริงมันเป็นแบบนั้น พอเป็นจริงเป็นแบบนั้นปั๊บ เพราะคนรู้จริงนะ เหมือนเรานี่นะเราได้เงินมา ๑๐๐ บาท เป็นแบงก์ถูกต้องตามกฎหมาย เราใช้หมดไปแล้ว พอใช้หมดไปแล้วเราอยากได้เราก็ไปเอาแบงก์ปลอมมา แล้วแบงก์ปลอมใช้ได้ไหม แบงก์ปลอมมันจะใช้ตอนกลางคืนนะ ตอนคนมั่วๆ คนเยอะๆ นั่นแหละใช้ไปไม่มีใครดู เพราะมันเป็นของไม่จริง พอมันผ่านไปแล้ว แบงก์ ๑๐๐ บาทนี้เราได้ใช้หมดไปแล้ว เราก็ไม่มีเงินจะใช้ เห็นไหม เขาบอกว่า

ถาม : พอต่อไปข้างหน้าพอผมเอาความรู้สึกตอนนั้น สุดท้ายแล้วผมก็เอาคำตอบนั้นมาถามตัวเองอีก แต่มันไม่ได้ผล มันไม่ได้ผลเหมือนตอนที่มันรู้สึกตอนนั้นเลย

ตอบ : รู้จำ การปฏิบัติของเรานี่พวกรู้จำมันเยอะ ถ้ารู้จำมันเยอะ มันไม่มีรสชาติ รู้จำนี่นะ คนรู้จำมันพูดดีกว่าคนรู้จริงอีก เพราะคนรู้จริง เห็นไหม นี่มันเกิดขึ้นมามันรู้จริง พอรู้จริงขึ้นมา ทำไมเอ็งชอบผู้หญิงผิวขาว ทำไมไม่ชอบผู้หญิงผิวดำ ถ้าคำถามจบมันก็ตอบว่า แล้วทำไมเอ็งไม่ชอบกระดาษสีขาว ทำไมเอ็งไม่ชอบล่ะ นี่คำถามอย่างนี้เราจะเป็นคนตั้งโจทย์ขึ้นมาไหม? เราไม่ได้ตั้ง มันเกิดขึ้นมาบนหัวใจ เราไม่ได้รู้จำ รู้จำมันเขียนเอาไว้แล้ว มันบอกเอาไว้แล้ว ถ้าบอกเอาไว้แล้วเราก็รู้แล้ว

หลวงตาท่านบอกเลยนะ “ไอ้โจรในหัวใจนี่สำคัญที่สุด” หาเงินมากได้มากเลย จะออมไว้ไง ไปฝากไว้ในธนาคาร ฝากไว้ในธนาคารก็ไอ้ตัวนี้แหละไปเบิก ไอ้คนไปฝากมันไปเบิกมาหมดน่ะ เงินจะไปซ่อนไว้ที่ไหนมันรู้หมด เพราะมันเป็นคนไปฝากไว้เอง นี่มันรู้จำ เพราะมันรู้อยู่แล้วว่ายอดเงินมีเท่าไร ไปฝากไว้ที่ไหน แล้วมันก็จะไปถอนมาใช้ มันก็จะไปเอาเงินมันออกมาใช้ แล้วบอกว่ามันจะเก็บนะ มันจะเก็บ เห็นไหม นี่รู้จำ รู้จำมันรู้อยู่แล้ว แล้วมันเอามาใช้หมดเลย

ฉะนั้น เวลาเขาถามว่า

ถาม : แล้วทำไมเวลาเอาคำถามนั้นมาถามตัวเองอีก ทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ

ตอบ : มันไม่ได้ผลเพราะมันเป็นรู้จำ เห็นไหม ทีนี้การรู้จำ ในกรรมฐานเราท่านถึงบอกว่าสัญญานี่สำคัญ สัญญานี่ ถ้าสัญญานะ พอมันมีสัญญาขึ้นมามันสร้างภาพ พอมันสร้างภาพ การภาวนามันจะล้มลุกคลุกคลานมาก ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาดมากนี่นะ เวลาท่านเทศน์ท่านจะเทศน์เป็นพื้นฐานให้เรา ชักนำให้เราเข้ามา พอชักนำเราเข้ามาเรื่อยๆ พอถึงที่สุดตอนที่มันจะขมวดเป็นถึงที่สุดท่านจะเว้นไว้ละไว้ไม่ให้เรารู้ ไม่ให้เรารู้

หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านบอกว่าอยู่กับหลวงปู่มั่นมา ๘ ปี หลวงปู่มั่นไม่เคยบอกเลยว่าท่านได้ขั้นไหน ท่านมีคุณธรรมอย่างใด หลวงปู่มั่นเวลาอยู่กับลูกศิษย์ไม่เคยบอกว่าท่านดีอย่างใดเลยนะ แต่เวลาท่านเทศน์ขึ้นมา อู้ฮู! คนฟังหูตั้ง

นี่ท่านบอกเราถึงพื้นฐาน แต่ท่านจะไม่บอกเราถึงบทสรุป ถ้าบทสรุป ถ้ามันไปรู้จำมาแล้วนะมันสรุปให้ว่าเป็นอย่างนั้นๆ พอมันสรุปแล้วนี่ พูดดีกว่าความเป็นจริงอีก แต่ความเป็นจริงนะ ถ้าใครไม่มีเหตุมีผลมันจะพูดอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าพูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพูดจำมันรู้ได้ มันรู้ได้นะ

ดูสิ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดไหม? สุดยอด นี่เราศึกษามา เราเอาบาลีมาขยายความ มาแต่งต่างๆ ได้อีกมหาศาลเลย แต่ความจริงล่ะ เราก็สงสัย ถ้าเราสงสัย สิ่งที่เราสงสัย สิ่งต่างๆ กิเลสมันอยู่เบื้องหลัง มันอ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นี้เป็นของเราเองนะ เวลามันเกิดขึ้นมา เพราะเขาถามว่า

ถาม : คำถามที่เกิดขึ้นตามมาด้วยคำตอบนี้เป็นการใช้ปัญญาใช่หรือไม่

ตอบ : มันเป็นธรรมเกิด ถ้ามันเป็นอริยสัจนะ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริงนะ จิตเราสงบ พอจิตเราสงบ เราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ฉะนั้น กรณีที่มันรู้ขึ้นมานี่มันเห็นธรรม ผู้หญิงผิวขาวและผู้หญิงผิวดำมันเป็นอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์นะเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะมีสมาธิ พอมีสมาธิขึ้นมา เพราะมีสมาธิ ถ้ามีสมาธิ นี่ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมีสมาธิมันเกิดกาย เกิดเวทนา เกิดจิต เกิดธรรม

เกิดกายก็เห็นกาย เกิดเวทนา นี่เกิดเวทนา ความสุข ความทุกข์ที่จิตจับเวทนา เกิดจิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส เกิดธรรม อารมณ์ ธรรมารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกที่มีสัมมาสมาธิมันจะเป็นธรรม ทีนี้ธรรมเกิด พอธรรมเกิด เห็นไหม พอมันเกิดขึ้นมานี่โล่งหมดเลย เพราะคำถามคำตอบมันสรุปแล้วปล่อยวางหมด โล่งหมดเลย นี่ธรรมเกิด ธรรมเกิดเพราะอะไร ธรรมเกิด

เพราะว่าถ้าเป็นอริยสัจ เป็นโสดาปัตติมรรคนะ จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เหมือนเราเป็นเจ้าของ เราเป็นเจ้าของ เราบริหารจัดการ แต่นี้เราไม่ได้บริหารจัดการมันเกิดเอง อย่างนี้มันเกิดเองใช่ไหม เพราะมันเกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว มันเกิดเอง พอมันเกิดเองนี่เกิดจากอำนาจวาสนา เกิดว่าทำไมเอ็งชอบผู้หญิงผิวขาว ทำไมเอ็งไม่ชอบผู้หญิงผิวดำ มันเกิดขึ้นมาเอง เห็นไหม เกิดขึ้นมาเองๆ ถ้าเกิดขึ้นมาเอง แล้วคำตอบมันก็เกิด นี่เวลาคำตอบมันตอบ ตอบก็จบ นี่เราไม่มีโอกาสบริหารไง

ฉะนั้น เวลาโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ถ้าโสดาปัตติมรรคนะ นี่มรรค จิตมันเป็นผู้บริหารจัดการ มันจับ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นี่เป็นอริยสัจ ถ้าเป็นอริยสัจคือว่าจับแล้วพิจารณาได้ ถ้ามันหลุดไม้หลุดมือไปก็ต้องกลับมาทำสมาธิ สมาธิเข้มแข็งขึ้นมันก็เห็นของมัน นี้คือโสดาปัตติมรรค แล้วคำถามที่ว่า

ถาม : แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ตอบแบบนี้คือการใช้ปัญญาใช่หรือไม่

ตอบ : มันใช่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ปัญญาชั้นไหนล่ะ มันใช่แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นปัญญา แล้วมันเป็นปัญญาความจริงด้วย ปัญญาความจริงเพื่อมาเป็นเครื่องยืนยันกับเราไง ว่านี่ถ้างานภายในมันเป็นแบบนี้ คนที่ภาวนาเป็น คนที่ได้ประสบการณ์อย่างนี้มันจะเป็นการยืนยันว่าเรามีความจริง ความจริงนะ เวลาพูดถึงข้างนอก ข้างใน มันจะได้ไม่บอกว่ากรรมฐานเล่นโวหาร กายนอก กายใน กายในกาย พูดเพ้อเจ้อ กายมันมีกายนอก กายใน กายก็คือกาย จะมีกายนอก กายในอย่างไร...นี่เวลาเขาพูดของเขานะ

เหมือนกับปัญญานอก ปัญญาใน ปัญญานอกก็สัญญานี่ไง ปัญญานอกคือปัญญาจำมานี่ไง ปัญญาจำมา นี่มันจำมา จำมาคือกู้ยืมมา มันมีดอกเบี้ย เดี๋ยวเจ้าของก็เอาคืน แต่ถ้าเป็นของเราล่ะ ของเรา เราหาของเรามาเอง ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตมันเป็นปัญญาของเรา มันไม่ใช่ปัญญาที่เราจำมา มันเป็นการฝึกฝนขึ้นมา มันเป็นขึ้นมา

ฉะนั้น สิ่งที่เขาถามว่า

ถาม : การฝึกหัดแบบนี้ฝึกใช้ปัญญาใช่หรือไม่

ตอบ : ใช่ ถ้าใช่แล้วปัญญานี้เกิดอย่างไรล่ะ ปัญญานี้เกิดจากสมาธินะ ปัญญาเกิดจากพุทโธ ถ้าไม่มีพุทโธ ดูสิตอนที่บอกว่าเราก็เอาอารมณ์อย่างนี้มาใช้อีก เอาความคิดอย่างนั้นมาใช้อีก แล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้เลย มันทำไมจืดๆ ชืดๆ นั่นอะไร เห็นไหม ปัญญาจำ รู้จำกับรู้จริง รู้จริงต้องเกิดจากสัมมาสมาธิ รู้จริงต้องเกิดจากจิตสงบ เพราะจิตสงบมันลงลึก ลงลึกมันเกิดรสชาติ แต่ถ้ามันเป็นรู้จำ มันไม่ต้องสงบเราก็จำได้ เพราะความจำมันเกิดจากจิตอยู่แล้ว ขันธ์เกิดจากจิต ขันธ์อยู่กับจิต นี่เกิดจากภวาสะ

ฉะนั้น สิ่งที่รู้จำมันจำได้ทั้งนั้นแหละ จำแล้วก็ลืม ลืมแล้วก็ฝึกฝน ลืมแล้วก็ไปเปิดตำราก็จำได้อีก จำแล้วมันไม่ถอดถอนกิเลสไง นี่เราจะบอกว่าไม่ให้ทิ้งพุทโธ ถ้าพุทโธ พุทโธ จิตมันสงบแล้วมันถึงเกิดอย่างนี้ แล้วเกิดอย่างนี้แล้วมันจะเกิดอีกเมื่อไหร่ล่ะ นี่ถ้าเกิดอย่างนี้จะเกิดอีกเมื่อไหร่ เกิดอีกเมื่อไหร่ก็ต้องทำความสงบของใจ ถ้าใจสงบแล้วก็ฝึกหัดใช้มัน ถ้าใช้มัน มันก็เกิดได้ ถ้าใช้มันไม่เป็น ใช้ไม่เป็นเราก็พยายามหาทางออก

หลวงตาบอกว่า การประพฤติปฏิบัติยากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้นนี่ไง นี่คราวเริ่มต้นจับพลัดจับผลู คนฝึกงาน คนทำงาน เริ่มต้นนี่มันยากหน่อย แต่ถ้ามันเป็นไปแล้วนะ คนทำงานชำนาญแล้วมันไปได้ นี่คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น มันจะทุกข์ มันจะยาก มันจะลำบากหน่อยเราก็พยายามของเรา เพราะมันเป็นผลประโยชน์ของเรา มันไม่เป็นผลประโยชน์ของใครหรอก มันเป็นประโยชน์ของเรา เราต้องขยันของเรา นี่ข้อที่ ๑

ถาม : ๒. ถ้าไม่ใช่ สิ่งนี้คืออะไรครับ แล้วการฝึกใช้ปัญญาเป็นอย่างไรครับ ขอความกรุณายกตัวอย่างได้ไหมครับ

ตอบ : มันใช่ แต่มันใช่ ปัญญามันมี เห็นไหม สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญามันมีหยาบ มีละเอียด มีลึกซึ้งมากกว่านี้อีกเยอะเลย แต่นี้เพียงแต่เป็นปัญญาโลกกับปัญญาธรรม ปัญญาโลกคือโลกียะ คือสัญญา คือความจำ ปัญญาโลกุตตระ ปัญญาโลกียะกับโลกุตตระ ถ้าโลกุตตระนี่มันละโลกไง ละโลก ละจิตพ้นจากกิเลส กิเลสคือโลก กิเลสคือสมุทัย กิเลสคือพญามารที่มันปกคลุมหัวใจอยู่ แล้วถ้าเกิดภาวนามยปัญญามันจะเริ่มผ่อนคลาย เริ่มคลายออก

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า

ถาม : การฝึกหัดใช้ปัญญา ใช้ปัญญาอย่างใด

ตอบ : การฝึกหัดใช้ปัญญาก็เริ่มต้นจากที่ว่า ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ เราก็คิดถึงความรู้สึกนึกคิด คิดที่มันเป็นความว่า ชีวิตนี้เกิดมาเป็นทุกข์นัก ชีวิตต่างๆ คิดพิจารณาไปมันปล่อยๆๆ ปล่อยเข้ามา ถ้าเวลามันเกิด เห็นไหม พอจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันจะเกิดธรรมารมณ์ เกิดอย่างที่ว่าที่มันเกิดผิวขาวๆ เพราะจิตมันสงบ มันจับ เพราะจิตมันสงบแล้วมีสติ คนที่มีสติ เห็นไหม คนที่นั่งปกติเห็นคนเดินมา คนวิ่งมา เห็นภาพชัดเจน เราวิ่งอยู่ แล้วเขาก็วิ่งมากับเรา นี่เราเห็นภาพ แต่เราไม่เห็นชัดเจน

ถ้าจิตเราไม่สงบ คือเราวิ่งอยู่ จิตใจเราเร่ร่อนอยู่ จิตใจเราเร่ร่อน สิ่งที่เกิดขึ้นมาก็เป็นสัญญาอารมณ์ ความรู้สึกมันก็รู้ได้แต่มันไม่ชัดเจน แต่ถ้าเรานั่งอยู่ เรายืนอยู่ แล้วเรานั่งของเราอยู่นิ่งๆ แล้วมีสิ่งใดเข้ามาในคลองสายตาของเรา เราจะเห็นภาพนั้นชัดเจน

ปัญญาอบรมสมาธินี่ เราวิ่งอยู่ มันก็วิ่งอยู่ ถ้าคนที่ไม่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิคือว่าใช้ปัญญาของเขา คือเขาวิ่งอยู่คนเดียว เขาไม่สนใจใครเลย เพราะความรู้สึกมันมีหนึ่งเดียว แต่เวลาเรามีสติ มีปัญญา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เรามีสติ เราดูความรู้สึกเรา ดูความรู้สึก ดูความรู้สึกนึกคิดเราว่าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ นี่มันเป็น ๒ คน แล้วมันวาง มันเห็นแล้วมันวางเหลือเราคนเดียว เรายืนอยู่หรือเรานั่งอยู่ พอเรานั่งอยู่ ถ้าจิตสงบนี่ใครเข้ามาเราจะเห็น

จิต ถ้ามันใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันเพื่อความสงบของมัน เพื่อให้มันยืนนิ่งอยู่ พอนิ่งอยู่ พอมันเห็นขันธ์ ๕ เห็นสิ่งที่เกิดจากจิต เห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต ถ้าเห็นอาการของจิตมันก็เห็นผู้หญิง ทำไมเราชอบผู้หญิงผิวขาว จิตมันเห็น จิตมันรู้...จิตมันเห็น จิตมันรู้นะ จิตเห็นอาการของจิต เห็นไหม จิตเห็นอาการของจิตแล้วมันจับอาการนั้นพิจารณา มันจะมีรสชาติอย่างที่เป็นนี่ มันจะมีรสชาติอย่างที่มันปล่อยหมดแล้วมันโล่งหมด เห็นไหม มันต่างกันอย่างไร

ถ้าจิตเห็นอาการของจิต คือจิตมันเห็นไง จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ แล้วมันเห็นของมัน มันจับของมันได้ มันถึงจะเป็นโสดาปัตติมรรคแล้วมันเดินไป อย่างนั้นแสดงว่าที่เราเห็น เราชอบผู้หญิงผิวขาวมันก็เห็นอาการของจิตใช่ไหม

ใช่ เห็นอาการของจิตเหมือนกัน แต่ทำไมเราไม่รู้ล่ะ

ไม่รู้เพราะจิตเราไม่มั่นคง ไม่รู้เพราะจิตเรามันไม่ตั้งมั่น เห็นไหม นี่พุทโธ พุทโธไม่ตั้งมั่น อันนี้มันถึงเป็นส้มหล่น เป็นธรรมเกิดไง ธรรมเกิด ธรรมเกิดนะอย่างนี้มันจะมีสิ่งใดที่อยู่ในหัวใจของเรา ธรรมะเกิด ธรรมะไง ธรรมะกับเรานี่เกิดขึ้นในหัวใจของเรา มีคำถามขึ้นมา จะมีคำตอบขึ้นมา แล้วโล่งหมดเลย ปล่อยวางหมดเลย นี่ธรรมเกิด ธรรมะเกิด

แล้วธรรมเกิดแล้วทำอย่างไรต่อไป ธรรมะเกิดแล้วก็เป็นพระอรหันต์สิ

ไม่ใช่ ธรรมะนี่เป็นอำนาจวาสนาบารมีของจิตมีแต่ละดวง บางดวงจิตมีแบบนี้ บางดวงจิตไม่มี บางดวงจิตนะภาวนาเกือบเป็นเกือบตาย ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย บางดวงจิตรู้ดีกว่านี้อีก เห็นรู้ไปหมดเลย เข้าใจไปหมดเลย นี่เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนา พันธุกรรมของจิตที่สร้างมาแตกต่างกัน สร้างมาหลากหลาย มันจะเป็นแบบนี้ นี่ถ้ามันสร้างมาหลากหลายมันเป็นแบบนี้มันถึงบอกว่ามันเป็นธรรมเกิด

ฉะนั้น พอธรรมเกิดแล้ว สิ่งที่จะทำต่อไปนะ ทำความสงบของใจเข้ามา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรือใช้พุทโธก็ได้ ถ้าจิตสงบแล้ว ถ้าเห็น เห็นดีกว่านี้อีก เห็นดีกว่านี้ เห็นลึกกว่านี้ แต่สิ่งที่มันเป็นโทษ เป็นโทษเพราะความรู้ความเห็นแล้วมันอยากเป็น ความอยากเป็นนี่เป็นสมุทัยซ้อนสมุทัย สมุทัยกำลังสองทำให้ภาวนายาก

ถ้ามันเห็นแล้วมันเกิดความอยากได้ ความอยากได้ เห็นไหม สมุทัยคือความอยาก คือตัณหา พอตัณหา อยากให้มีความรู้สึกอย่างนี้ ถ้าอยากให้มีความรู้สึกอย่างนี้ ภาวนาไปจะไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะมันเป็นการคาดหมาย ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นจะเห็นธรรมตามความเป็นจริง ผู้ใดคาดหมายธรรม ผู้ใดด้นเดาธรรม ผู้ใดปรารถนาอยากได้ธรรม ทุกข์มากเลย

ฉะนั้น ต้องวางตรงนี้ สิ่งที่ผ่านมามันเป็นอดีตไปแล้ว เราก็เคยรู้เคยเห็นมา เราเคยได้ลิ้มรสธรรมรสอย่างนี้มา ได้ลิ้มรสมาแล้ววางไว้ เป็นอดีตมาแล้ว เราจะต้องได้ลิ้มรสในปัจจุบัน ฉะนั้น วางให้หมด สิ่งที่ผ่านมาเป็นเครื่องหมายว่าธรรมะมีจริง แล้วเราปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ฉะนั้น คำว่าปัญญาอบรมสมาธิ คำถามมันถามอยู่แล้วว่า

ถาม : อย่างนี้ใช่ปัญญาอบรมสมาธิหรือเปล่า

ตอบ : ปัญญาอบรมสมาธิหมายความว่าเรามีสติควบคุมการทำงานของเรา นี่ใช้สติคิดอย่างไร ความคิดนี่สติตามไป มันปล่อย สติมันเห็นชัดเจน แล้วเวลามันเห็นกายที่มันจะเห็นว่าผิวขาวหรือผิวไม่ขาว จิตมันเห็นแล้วมันจับต้องได้ จับต้องได้หมายความว่าเราบริหารจัดการได้ เราจับได้ แล้วเราพิจารณาได้ เห็นไหม นี่จิตเห็นอาการของจิต เห็นรูปของจิต แล้วจิตมันเห็นอย่างไร แล้วมันจับอย่างไร มันพิจารณาอย่างไร มันจะมีงานของมัน มันถึงเป็นมรรค มรรค ๘ เห็นไหม ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ

งานชอบ งานชอบธรรม งานทำอย่างไรถึงเป็นชอบ สติมันชอบ สมาธิชอบ นี่ความระลึกรู้อยู่ชอบ ความชอบธรรม แล้วปัญญาชอบมันพิจารณาอย่างไร...มันจะรู้จะเห็น แล้วชัดเจนมากนะ แล้วมันจะดีอกดีใจ ทำแล้วมันจะประสบความสำเร็จ ทำแล้วมันจะมีคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดี ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาแล้วมันจะเป็นความจริง ความจริง นี่เพราะคำถามถามว่า

ถาม : แล้วจะทำอย่างไรต่อไป กรุณายกตัวอย่างได้ไหมครับ

ตอบ : กรุณายกตัวอย่าง เพราะเราเข้าใจนะ เด็กน้อยยกของหนัก พอยกของหนักขึ้นมานี่มันหนักมาก แล้วจะปลงจะวางที่ไหนมันทำของมันด้วยความยากลำบาก ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เคยยกของแล้ว เขาจะรู้ว่ายกของหนักวางที่ไหน วางอย่างใด นี่ก็เหมือนกัน แล้วจะทำอย่างไร เพราะมันเหมือนยกของหนัก มันทำแทบสุดวิสัยเลย

ไม่สุดวิสัยหรอก เห็นไหม เราจะบอกเลยว่าจิตนี้เร็วมาก จิตนี้เร็วมาก ถ้าคนยังตามจิตไม่ทัน แต่จิตเร็วมากขนาดไหน ตั้งสติแล้วนี่เราทันหมดเลย จิตจะคิดเร็วขนาดไหน จะไปกว้างไกลขนาดไหน เรามีสตินี่เราทันหมดเลย พอทันหมดแล้วเราก็บริหารจัดการมัน เดี๋ยวจิตอยู่กับเราหมดเลย แล้วเราแก้ไขของเราไป

นี่มันถึงบอกว่า

ถาม : ถ้าหลวงพ่อเห็นว่ายกตัวอย่างแล้วจะกลายเป็นสัญญา

ตอบ : สัญญาก็คือสัญญา สิ่งที่เราจำมานั่นน่ะเป็นสัญญาอยู่แล้ว แล้ววางไว้ เราพยายามทำของเรา เห็นไหม ถ้าสัญญาคือรู้จำ ถ้าเป็นความจริงคือรู้จริง นี่มันเป็นผล ความคิดเหมือนกัน ทำไมมันเป็นความจริงล่ะ คิดแล้วมันมีความสุขมาก โล่งโถงไปหมดเลย เหมือนกับจะไม่ชอบผู้หญิงผิวขาวอีกแล้วเลยด้วย แต่พอมันเสื่อมนะก็ไปชอบเหมือนเดิม เห็นไหม รู้จำกับรู้จริง ถ้ารู้จริง รู้จริงมันทันหมด ทันหมดมันก็วางได้หมด พอรู้จำก็มาใช้อีก แล้วเอามาคิดอีกมันก็ยังชอบอยู่อีก

ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง เป็นเครื่องการันตีกับจิต ถ้าจิตรักษาสิ่งนี้ได้แล้ว เราทำของเราต่อไปด้วยการปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ พุทโธก็ได้ เพราะมันจะเกิดมันเกิดจากจิตสงบมันถึงได้รู้รสชาติอย่างนี้ ถ้าจิตไม่สงบ นี่ไม่มีหรอก คิดจนตายก็ไม่มี ให้อาจารย์องค์ไหน เก่งขนาดไหน บอกให้มีรสชาติอย่างนี้ก็ไม่มี แต่เวลามันเป็นมันเป็น มันเป็นขึ้นมากลางหัวใจ นี่ผลของการทำความเพียร ความเพียรชอบนะ เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา จะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง